ไมโครโฟนคืออุปกรณ์ในการบันทึกเสียงที่ใช้งานกันมาอย่างยาวนาน โดยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันมีมากมายหลายแบบ คุณสมบัติ การออกแบบ ฟังก์ชันการใช้งาน รวมทั้งราคาก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งการจะเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีเอามาไว้ใช้สร้างคอนเทนต์นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เราต้องพิจารณา ซึ่งในบทความนี้เราได้รวบรวมเอา 10 รุ่น ไมค์อัดเสียง จากยี่ห้อชั้นนำที่วางใจได้ในคุณภาพ อาทิ Signo, FANTECH, Maono, Beyerdynamic, HyperX, SHURE บอกเลยว่าแต่ละรุ่นน่าสนใจมาก
ไมค์อัดเสียง มีกี่แบบ
สำหรับประเภทของใหม่อัดเสียงนั้นหลักๆ แบ่งออกได้ 2 แบบคือ
- ไมโครโฟนแบบคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) เป็นไมค์ที่หลายคนเลือกใช้งานกันด้วยคุณสมบัติในการรับเสียงที่ยอดเยี่ยม บันทึกเสียงได้ครบทุกย่านความถี่ ใช้งานได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียง การร้องเพลง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่นกล้องวิดีโอ สมาร์ทโฟน มีหลายขนาด ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น อย่างไรก็ตามจากคุณสมบัติในการไวต่อเสียงทำให้บางรุ่นอาจมีเสียงรบกวนค่อนข้างเยอะ เวลานำไฟล์มาตัดต่อจึงต้องใช้เทคนิคและเวลาพอสมควร
- ไมโครโฟนแบบไดนามิก (Dynamic Microphone) สำหรับแบบนี้จะตรงข้ามกับแบบแรกในเรื่องของความไวต่อเสียง สามารถป้องกันเสียงรบกวนได้ดีผ่านแผ่นไดอะแฟรม ใช้งานในสถานที่เปิดได้ดี สะดวกต่อการตัดต่อ รวมถึงมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป แต่ในข้อดีก็มีข้อเสียเนื่องจากมีช่วงในการรับเสียงที่ค่อนข้างแคบกว่าไมโครโฟนแบบคอนเดนเซอร์ ซึ่งการจะเลือกแบบไหนก็อยู่ที่รูปแบบการใช้งานรวมถึงสถานที่เป็นหลัก
วิธีเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีเอาไว้ใช้งาน
ต้องบอกว่าไมค์อัดเสียงนั้นเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะพอสมควรการจะเลือกให้ถูกกับงานและถูกใจนั้นจึงต้องพิจารณาหลายอย่างร่วมกัน มาดุกันว่าการจะหาไมค์อัดเสียงเอาไว้ใช้นั้นเราสามารถใช้อะไรเป็นเกณฑ์ได้บ้าง
1. เลือกไมค์อัดเสียงจากทิศทางการรับเสียง
ข้อแรกเลยในการจะเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีหรือว่ารุ่นไหนก็คือการพิจารณาจากทิศทางการรับเสียง ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
- ไมค์อัดเสียงแบบ Cardioid เป็นไมโครโฟนที่ใช้การรับเสียงจากด้านหน้า ทำให้ลดการเกิด Noise หรือเสียงรบกวนได้ค่อนข้างดี เหมาะกับการทำคอนเทนต์หรือบันทึกเสียงที่ต้องมีการขยับร่างกายเช่น การไลฟ์สด การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว หรือการแคสต์เกม เป็นต้น
- ไมค์อัดเสียงแบบ Super Cardioid เป็นไมโครโฟนที่รับเสียงจากด้านหน้าเช่นกันแต่จะมีช่วงที่แคบกว่าแบบแรก ทำให้ป้องกันเสียงรบกวนได้ดีขึ้น ส่วนเสียงจากทางด้านหลังก็รับได้บ้าง เหมาะกับการใช้งานในสตูดิโอ เช่น การบันทึกเสียง การร้องเพลง
- ไมค์อัดเสียงแบบ Hyper Cardioid เป็นไมโครโฟนรับเสียงจากด้านหน้าในองศาที่แคบลงจากไมค์ Super Cardioid แต่รับเสียงด้านหลังได้มากขึ้น จึงต้องตั้งไมค์อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการหอน เหมาะกับการบันทึกเสียงเครื่องดนตรี หรือเสียง Effect ต่างๆ
- ไมค์อัดเสียงแบบ Bidirectional เป็นไมโครโฟนที่รับเสียงได้จากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนเสียงด้านข้างจะรับได้น้อยมาก เหมาะกับการบันทึกเสียงในที่ปิดหรือห้องอัด รวมถึงใช้ในการสัมภาษณ์ต่างๆ ที่ต้องการเสียงจากทั้งสองฝั่ง
- ไมค์อัดเสียงแบบ Omni – Directional เป็นไมโครโฟนแบบที่สามารถรับเสียงได้จากทุกทิศทาง 360 องศา ความไวสูง เหมาะสำหรับการบันทึกเสียงธรรมชาติ การบันทึกเสียงเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้น หรือการสนทนาแบบกลุ่ม อย่างไรก็ตามหากไม่เซ็ตให้ดีอาจมีปัญหาเรื่องการหอนหรือเสียงรบกวนเกิดขึ้นได้ หากต้องการงานที่ละเอียดจึงควรใช้งานในที่ที่ค่อนข้างเงียบ
2. เลือกไมค์อัดเสียงจากฟังก์ชันการทำงาน
ข้อต่อมาในการเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีก็คือการพิจารณาจากฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากไม่แพ้คุณภาพเสียง ทั้งเรื่องของการเชื่อมต่อว่าเป็นแบบมีสายหรือไร้สาย หากไร้สายใช้ Bluetooth เวอร์ชันไหน ระยะการเชื่อมต่อกี่เมตร ตามมาด้วยฟังก์ชันในการตัดเสียงรบกวน การปรับระดับเสียงต่างๆ ทำได้ละเอียดแค่ไหน หรือไมโครโฟนบางรุ่นอาจรองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันของผู้ผลิตเพื่อตั้งค่าหรือควบคุมการใช้งาน หรือมีหน้าจอแสดงผลเพื่อบอกอายุการใช้งานแบตเตอรี่หรือสถานะการทำงาน เป็นต้น
3. เลือกไมค์อัดเสียงจากการใช้งาน
แน่นอนว่าการจะเลือกซื้ออะไรก็ตาม เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งการเลือกไมค์อัดเสียงก็เช่นกัน ที่เราต้องดูว่าเน้นการใช้งานด้านใดเป็นพิเศษ แล้วจึงพิจารณาจากคุณสมบัติเด่นของไมโครโฟนรุ่นนั้น ว่ารับเสียงจากทิศทางใด เป็นไมค์ประเภทไหน ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการใช้อัดเสียงร้องก็เลือกไมโครโฟนแบบไดนามิกที่มีแผ่นไดอะแฟรม หรือหากใช้เพื่อการสัมภาษณ์อาจเลือกเป็นไมค์ อัดเสียงแบบ Omni – Directional ที่รับเสียงได้จากด้านหน้าและด้านหลัง เป็นต้น
4. เลือกไมค์อัดเสียงจากดีไซน์และอุปกรณ์เสริม
อุปกรณ์เสริมที่มากับไมโครโฟนแต่ละตัว คือสิ่งที่มาช่วยให้เราใช้งานได้สะดวกขึ้น หรือเสริมประสิทธิภาพของเสียงให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ขาตั้งไมโครโฟน อุปกรณ์บังลม ที่หนีบไมโครโฟน ฟองน้ำหุ้มไมค์ ความยาวของสายไมค์ ซึ่งไมค์อัดเสียงแต่ละรุ่นก็จะให้อุปกรณ์เสริมมาแตกต่างกันออกไป โดยแม้จะเป็นแค่องค์ประกอบแต่ก็ช่วยเติมเต็มการใช้งานให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
5. เลือกไมค์อัดเสียงจากยี่ห้อ ราคา และการรับประกัน
อย่างที่เราเกริ่นเอาไว้ในตอนต้นว่าไมค์อัดเสียงเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ค่อนข้างมีรายละเอียดทางเทคนิคเยอะ สิ่งที่จะช่วยให้เรามั่นใจได้ในเบื้องต้นว่าจะได้ไมโครโฟนที่เสียงดีมีคุณภาพก็คือการเลือกซื้อจากยี่ห้อที่มีชื่อเสียงไว้วางใจได้ อาทิ Signo, FANTECH, Maono, Beyerdynamic, HyperX, SHURE เป็นต้น บางรุ่นอาจจะราคาแพงหน่อยแต่ก็ช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ซึ่งเราสามารถกำหนดงบประมาณได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบในเรื่องของเงื่อนไขและระยะเวลาในการรับประกันสินค้าร่วมด้วย
เลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี ทั้งเสียงเพราะ ฟังก์ชันครบครัน เหมาะกับการทำคอนเทนต์
1. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ Signo รุ่น MP-701
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
เหมาะกับการร้องเพลง อัดเสียง และเล่นเกม | ไม่เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งหรือที่เสียงรบกวนเยอะ |
มีที่บังลงช่วยลดเสียงรบกวน | |
มี Shock Mount สำหรับการปรับระยะและระดับไมค์ | |
ราคาไม่แพงจนเกินไป |
เรามาเริ่มต้นรายชื่อ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีกันด้วย Signo รุ่น MP-701 ไมโครโฟนแบบCondenser สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานที่ต้องการไมโครโฟนคุณภาพกลางๆ ราคาไม่พงมาก โดยยี่ห้อนี้เป็นผู้ผลิตเกมมิ่งเกียร์ชื่อดังรายหนึ่งทำให้สามารถใช้สำหรับเล่นเกมได้ อัดเสียงและร้องเพลงได้ คุ้มค่าเกินราคา มาพร้อม Shock Mount สำหรับยึดกับโต๊ะ ปรับระยะและปรับระดับได้ตามต้องการ มีที่บังลมช่วยลดเสียงหายใจและเสียงรบกวน ใช้งานง่ายด้วยการเชื่อมต่อผ่าน Aux 3.5mm รองรับช่วงความถี่ 20 – 20,000 Hz ความไวในการรับเสียง 34dB+-2dB ในช่วงราคาไม่เกิน 1,000 บาท รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจมาก
2. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ Maono รุ่น AU-A04AT
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
มาพร้อมอุปกรณ์เสริมพร้อมใช้ | รองรับช่วงความถี่ 30 Hz -16 kHz |
ใช้งานง่าย เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 2.0 ไม่ต้องลงโปรแกรม | เหมาะกับการใช้งานระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง |
เหมาะกับการบันทึกเสียงร้อง | |
ราคาไม่แพงจนเกินไป |
มาต่อกันด้วย ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ Maono รุ่น AU-A04AT ที่ต้องบอกว่าเวลามีการจัดอันดับรุ่นนี้มักจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อด้วยเสมอจากสเปคที่ให้มาเกินราคา และใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะกับการใช้บันทึกเสียงร้องหรือ Cover เพลงลงโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นไมโครโฟนแบบ Condenser รับเสียงจากด้านหน้า ความไวอยู่ที่ -38dB+/-3dB รองรับช่วงความถี่ระหว่าง 30 Hz -16 kHz มาพร้อมขาตั้งและที่บังลม น้ำหนักเบาสามารถพกพาไปได้ทุกที่ ลองดูว่ารุ่นนี้โดนใจคุณหรือไม่
3. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ FANTECH รุ่น MCX01
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ดีไซน์สวยงาม เร้าใจด้วยไฟ RGB | รองรับช่วงความถี่ 20Hz – 20kHz |
ใช้งานง่าย รองรับอุปกรณ์หลายอย่าง | ความไวในการรับเสียง -38dB ± 3dB |
เหมาะกับการร้องเพลง พากษ์เสียง เล่นเกม | |
ราคาไม่แพงจนเกินไป |
ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี รุ่นที่ 3 ของเราคือ FANTECH รุ่น MCX01 ที่เชื่อว่าพอเห็นแล้วหลายคนอยากได้มาเป็นเจ้าของ เพราะมากับรูปโฉมที่สวยงามเร้าใจ ด้วยไฟ RGB บนหัวไมค์ที่เปลี่ยนสีได้ จะทำคอนเทนต์หรือเล่นเกมก็ดูดี แถมฟังก์ชันการใช้งานก็ครบครัน มีทั้งขาตั้งแบบ Tripod เชื่อมต่อด้วยสาย USB ทำให้ใช้งานได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่นเกมคอนโซล สามารถปรับตั้งค่าเสียงได้จากตัวไมโครโฟน ตัวนี้รับเสียงจากด้านหน้า ความไวในการรับเสียง -38dB ± 3dB รองรับช่วงความถี่ 20Hz – 20kHz และยังมีช่องเสียบหูฟังใส่มาให้ด้วย
4. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ RIWORAL รุ่น RM800-PRO
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ไมค์คุณภาพสูง พร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด | ต้องซื้อพอร์ท USB แยกหากต้องการใช้กับสมาร์ทโฟน |
ปรับระดับเสียงและเสียงสะท้อนได้ตามต้องการ | |
รองรับได้ทั้ง คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก iPhone และ Android | |
มีระบบไฟ RGB สีสันสวยงาม |
อีกหนึ่งไมค์อัดเสียงระดับมืออาชีพ สำหรับการใช้งานแบบจริงจังอีกรุ่นครับ กับไมค์ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์รูปทรงและการใช้งาน ด้วยคุณภาพเสียงที่สูงมาก ด้วยวัสดุไดอะเฟรมแบบชุบทองที่แข็งแรง และทำให้เสียงที่ได้ จะมีคุณภาพที่สูง รองรับการบันทึกเสียงได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับใช้สตรีมเกม, ใช้บันทึกเสียง หรือใช้นอกสถานที่ได้แบบสบาย ด้วยสายเชื่อมต่อไมค์ที่ยาวถึง 2.7 เมตร พร้อมไปด้วยอุปกรณ์เสริมอีกเพียบครบทั้งชุด เรียกได้ว่า เป็นชุดไมค์อัดเสียงที่พร้อมให้คุณสวมบทผู้ใช้มืออาชีพได้แบบครบ จบในครั้งเดียวแน่นอน
5. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ Hoco รุ่น L15
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ไมค์แบบไร้สาย เชื่อมต่อผ่าน Wireless | ไม่รองรับการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือเกมคอนโซล |
รองรับการเชื่อมต่อกับ iPhone, Android หรือแท็บเลต | |
ระยะการเชื่อมต่อไกลถึง 15 เมตร | |
ใช้งานได้ยาวนาน 6 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง |
ถือเป็นไมค์อัดเสียงไร้สายที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากขนาดที่เล็ก พกพาง่าย มีวิธี Setup และใช้งานได้ง่ายมาก ไม่ต้องตั้งค่าอะไรเยอะ เพียงแค่เสียบเข้าไปที่ตัวสมาร์ตโฟนหรือแท็บเลต ก็สามารถใช้งานได้ทันที และยังมีระยะสัญญาณที่ไกลมาก ถึง 15 เมตร สามารถใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ แบบไม่ต้องกลัวว่าการรับเสียงจะขาดๆ หายๆ และยังสามารถใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมงตลอดวัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แต่ติดอยู่ที่ไม่เหมาะกับการเอาไปใช้กับคอมพิวเตอร์ PC หรือเครื่องเกมคอนโซลเท่านั้น เนื่องจากรูปทรงที่ออกแบบมาให้เข้ากันได้ดีกับสมาร์ตโฟนโดยเฉพาะ ทำให้ถือเป็นไมค์อัดเสียงสำหรับสมาร์ตโฟน ที่เราแนะนำว่าควรมีครับ
6. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ IK Multimedia รุ่น iRig Mic Field
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ไมค์ Condenser ประสิทธิภาพสูงสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟน | ใช้ได้กับ iPhone และ iPad |
ขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวก | รองรับช่วงความถี่ 40Hz – 20kHz |
เหมาะกับการทำคอนเทนต์นอกสถานที่ | |
สามารถนำไฟล์ที่ได้ไปตัดต่อได้ทันที |
ผ่านไปแล้วครึ่งทางกับรายชื่อ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีมาต่อกันเลยกับ IK Multimedia รุ่น iRig Mic Field ที่สร้างมาเพื่อคนที่ต้องการไมโครโฟนสำหรับใช้งานกับ iPhone และ iPad โดยเฉพาะ รุ่นนี้มาในขนาดพกพา เหมาะกับการทำคอนเทนต์นอกสถานที่และการ Live สด ไฟล์ที่ได้มีคุณภาพสูงสามารถนำมาตัดต่อได้ทันที เชื่อมต่อด้วยพอร์ต Lighting เป็นไมค์แบบ Condenser รับเสียงแบบ Cardioid ช่วงความถี่ 40Hz – 20kHz ถ้าคุณใช้อุปกรณ์ในระบบปฏิบัติการ iOS นี่คือไมค์อัดเสียงที่คุณกำลังตามหา
7. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ SHURE รุ่น MV7
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
คุณภาพเสียงระดับ Studio | รองรับช่วงความถี่ 50Hz – 60kHz |
รองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB และ XLR | ความไวในการรับเสียง -55dB |
เหมาะสำหรับคอนเทนต์แนว Podcast และเสียงร้อง | |
ป้องกันเสียงรบกวนได้ดี |
ไปให้สุดกับ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ SHURE รุ่น MV7 ไมโครโฟนคุณภาพเสียงระดับ Studio ที่ครบเครื่องทั้งงานออกแบบ ฟังก์ชันการทำงาน สร้างมาเพื่อคนทำคอนเทนต์ตัวจริง เหมาะสำหรับเนื้อหา แนว Podcast และเสียงร้อง โดยเป็นไมโครโฟนแบบไดนามิก ทิศทางการรับเสียงแบบ Cardioid ป้องกันเสียงรบกวนได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ShurePlu MOTIV และมอนิเตอร์ด้วยช่องหูฟังเพื่อตรวจสอบเสียงระหว่างบันทึก ตัวนี้เชื่อมต่อได้ทั้ง USB และ XLR ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย เรียกว่าซื้อมาใช้แล้วจบทุกเรื่องอคนเทนต์เสียงก็ว่าได้
8. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ FIFINE รุ่น K683B
จุดเด่น | |
---|---|
ตั้งค่าทิศทางการรับเสียงได้หลายแบบ | รองรับช่วงความถี่ 40Hz – 20kHz |
มีไฟแสดงสถานะการทำงาน | ความไวในการรับเสียง -45dB |
เหมาะกับคอนเทนต์เสียงหลายแบบรวมทั้ง ASMR | |
มี Pop Filter ช่วยป้องกันเสียงลม |
อีกรุ่นที่เราไม่อยากให้คุณมองข้ามก็คือ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ FIFINE รุ่น K683B ตัวนี้เป็นไมโครโฟนสารพัดประโยชน์ในราคาจับต้องได้ ฟังก์ชันการใช้งานอัดมาแน่นเกินค่าตัว เริ่มจากดีไซน์การออกแบบที่สวยทันสมัย มีไฟแสดงสถานการณ์ทำงาน ชัดทุกคำด้วย Pop Filter ช่วยป้องกันเสียงลม หรือจะตั้งค่าทิศทางการรับเสียงก็ตั้งได้หลายแบบ จะเสียงร้อง, Podcast หรือ ASMR ก็เอาอยู่ พอร์ตการเชื่อมต่อมีทั้ง USB Type-A และ USB Type-C เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ตัวไมค์มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5mm เอาไว้สำหรับมอนิเตอร์เสียง ใครยังไม่รู้จะเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีตัวนี้ก็น่าสนใจทีเดียว
9. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ BOYA รุ่น BY-M1
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ไมโครโฟนแบบหนีบเสื้อ พกพาสะดวก | รองรับช่วงความถี่ 65Hz – 18kHz |
ใช้งานได้กับสมาร์ทโฟน กล้องถ่ายรูป และคอมพิวเตอร์ | ความไวในการรับเสียง -30dB |
ทิศทางการรับเสียงแบบ Omnidirectional รอบทิศทาง | |
เหมาะกับการทำคอนเทนต์นอกสถานที่ |
สำหรับ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ BOYA รุ่น BY-M1 มาในรูปแบบของไมโครโฟนติดเสื้อซึ่งเหมาะสำหรับการทำคอนเทนต์นอกสถานที่หรือการไลฟ์สด เรียกว่าเป็นรุ่นยอดนิยมรุ่นหนึ่งของสาย Vlog เลยก็ว่าได้ มาพร้อมน้ำหนักที่เบาพกพาสะดวก รองรับทิศทางของเสียงแบบ Omnidirectional ให้เสียงที่สม่ำเสมอมีความชัดเจน เสียงรบกวนค่อนข้างต่ำ มีฟองน้ำสำหรับกันลม รองรับแอปพลิเคชัน MOTIV Audio เพื่อตรวจสอบการทำงาน ใช้งานได้กับอุปกรณ์ที่หลากหลายทั้ง PC, กล้องDSLR, สมาร์ทโฟน ใครมองหาไมค์พกพารุ่นนี้แหละใช่เลย
10. ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อ HyperX รุ่น QuadCast S
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ใช้ได้ทั้งการบันทึกเสียงและการเล่นเกม | รองรับช่วงความถี่ 20Hz – 20kHz |
ดีไซน์สวยงามเร้าใจด้วยไฟ RGB ปรับแต่งได้ | ความไวในการรับเสียง -36dB |
รองรับทั้ง PC, PS4 และ Mac | |
มีตัวกรองเสียงและช่องเสียบหูฟัง |
ส่งท้ายรายชื่อ ไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดี กันด้วย HyperX QuadCast S ไมโครโฟนเกมมิ่งจากค่ายเกมมิ่งเกียร์แถวหน้าของวงการ รุ่นนี้มากับดีไซน์ที่สวยงามเร้าใจด้วยไฟ RGB บนตัวที่สามารถปรับการแสดงผลได้ด้วยซอฟต์แวร์ NGENUITY พ่วงมาด้วยเซ็นเซอร์กดปิดเสียงพร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน เลือกทิศทางการรับเสียงได้ทั้งจากด้านหน้าและแบบสองทิศทาง รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่หลากหลายทั้ง PC, PS4 และ Mac สามารถปรับความไวของไมค์ได้เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงที่กำลังมองหาไมโครโฟนคู่ใจหรือหาไมค์อัดเสียงนี่คือรุ่นที่ไม่ควรมองข้าม
บทส่งท้ายจากผู้เขียน
ไมค์อัดเสียงกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่คนทำคอนเทนต์ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียงร้อง, การสัมภาษณ์, การไลฟ์สด, การทำ Podcast, การถ่ายคลิปวิดีโอนอกสถานที่ หรือแม้กับสายตรีมมิ่งเกมต่างๆ การมีไมโครโฟนดีๆ เอาไว้ใช้จะช่วยยกระดับคอนเทนต์ให้ดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เสียงเพราะขึ้น ตัดต่อง่าย ซึ่งการจะเลือกไมค์อัดเสียง ยี่ห้อไหนดีนั้นหลักๆ แล้วก็อยู่ที่รูปแบบการใช้งาน คุณภาพเสียงที่เหมาะสม และงบประมาณที่มีในกระเป๋าเป็นหลัก ลองเทียบในรายละเอียดกันดูว่าใน 10 รุ่นนี้ ไมค์อัดเสียงรุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่น่าจะลงตัวกับคุณมากที่สุด