สมาร์ททีวี เป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงที่พบเห็นได้แทบทุกที่ในปัจจุบัน โดยเข้ามาแทนที่ทีวีแบบเดิมๆ ที่เราเคยใช้งานกันมา จุดเด่นของทีวีแบบนี้ก็คือการมาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่เน้นคอนเทนต์ออนไลน์ สามารถเลือกชมได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอเหมือนในอดีต นอกจากนี้สมาร์ทีวียังมากับระบบภาพและเสียงที่คมชัดช่วยเติมเต็มความบันเทิงให้สมบูรณ์ขึ้น ใครกำลังมองหาอุปกรณ์นี้อยู่แต่ยังลังเลว่าจะเลือกสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดี ตามมาเลยเพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกใช้พร้อมชี้เป้าสมาร์ททีวีรุ่นที่น่าสนใจให้คุณพิจารณากัน
วิธีเลือกสมาร์ททีวี
ต้องบอกว่า Smart TV ที่วางขายกันอยู่ในปัจจุบันมีมากมายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ คุณสมบัติและราคาก็แตกต่างกันออกไป คำถามคือเวลาเราจะเลือกซื้อสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีเอาไว้ใช้งานนั้น ควรต้องพิจารณาในเรื่องใดบ้าง โดยสิ่งที่เราสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจนั้นประกอบไปด้วย
1. เลือกสมาร์ททีวีจากขนาดของหน้าจอ
เรื่องแรกเลยที่แทบทุกคนใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อสมาร์ททีวีก็คือขนาดของหน้าจอ ซึ่งก็ขึ้นกับพื้นที่ที่จะติดตั้งด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงระยะห่างจากจุดรับชมด้วย ซึ่งขนาดและระยะที่เหมาะสมจะช่วยให้เราเห็นภาพในมุมมองที่ชัดเจน และส่งผลดีกับสายตาของผู้รับชมด้วย โดยสามารถใช้เกณฑ์เบื้องต้นนี้ช่วยในการตัดสินใจได้
- จอทีวีขนาดน้อยกว่า 32 นิ้ว ระยะที่เหมาะสมคือไม่เกิน 1.5 เมตร
- จอทีวีขนาด 32-39 นิ้ว ระยะที่เหมาะสมประมาณ 1.5-2.0 เมตร
- จอทีวีขนาด 40-45 นิ้ว ระยะที่เหมาะสมประมาณ 2.0-2.5 เมตร
- จอทีวีขนาด 46-55 นิ้ว ระยะที่เหมาะสมประมาณ 2.5-3.0 เมตร
- จอทีวีขนาดมากกว่า 56 นิ้ว ระยะที่เหมาะประมาณ 3 เมตรขึ้นไป
2. เลือกสมาร์ททีวีจากประเภทของหน้าจอ
เทคโนโลยีหน้าจอที่นิยมใช้ในปัจจุบันประกอบไปด้วย หน้าจอแบบ LED ที่ถือเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้กันมา ให้ความคมชัดและสีสันที่สดใส ความสว่างสูง แต่ยังมีข้อด้อยคือให้สีที่ไม่ดำสนิท ตามมาด้วยหน้าจอแบบ OLED ที่คิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ให้ภาพที่คมชัดทุกมุมมอง มีความยืดหยุ่นสูง น้ำหนักเบา ประหยัดพลังงาน แลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น ส่วนเทคโนโลยีล่าสุดก็คือ QLED ที่มีความเพี้ยนของสีน้อยมาก ให้ภาพที่คมชัดในทุกมุมมอง เรียกว่าความคมชัดระดับนาโนเลยทีเดียว
3. เลือกสมาร์ททีวีจากความละเอียดของหน้าจอและการแสดงผล
ความละเอียดของหน้าจอเป็นอีกตัวช่วยในการที่จะเลือกสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีเอามาไว้ใช้ ยิ่งความละเอียดสูงก็ให้ภาพที่คมชัด โดยสามารถเรียงลำดับจากความละเอียดน้อยสุดไปมากสุดได้คือ ความละเอียดระดับ HD (1366 x 768 พิกเซล), ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) และ ความละเอียดระดับ 4K UHD นอกจากนี้ยังควรมองหาสมาร์ททีวีรองรับการแสดงผลแบบ HDR (High Dynamic Range) หรือรองรับ Dolby Vision เพื่อให้การแสดงผลคมชัดและมีรายละเอียดที่สมจริงมากขึ้น หรือหากนำมาใช้เพื่อการเล่นเกมอาจพิจารณาในส่วนของอัตราการรีเฟรชหน้าจอหรือเฟรมเรตร่วมด้วย โดยมีตั้งแต่ 90Hz, 120Hz, 144Hz หรือมทากกว่า
4. เลือกสมาร์ททีวีจากการเชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อคือหัวใจสำคัญอีกอย่างในสมาร์ททีวี เพราะจะกำหนดว่าเราสามารถรับชมเนื้อหาได้จากช่องทางใดบ้างทั้งในแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยควรตรวจสอบว่าสมาร์ททีวีเครื่องนั้นรองรับ Bluetooth หรือ Wi-Fi เวอร์ชันไหน ยิ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ก็จะยิ่งเชื่อมต่อได้รวดเร็ว เสถียร และในระยะที่ไกลขึ้น ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อที่ควรมีนั้น อาทิ พอร์ต HDMI, USB, AV, S-Video หรือ Audio ทั้งนี้ในการเลือกสาย HDMI นั้นไม่ควรเลือกที่มีราคาถูกจนเกินไป เพราะในระยะยาวอาจสร้างความเสียหายให้กับทีวีของเราได้ เช่นทำให้จอภาพติดๆ ดับๆ หรือกระพริบบ่อยๆ
5. เลือกสมาร์ททีวีจากฟังก์ชันเสริมต่างๆ
ปัจจุบันสมาร์ททีวีแต่ละรุ่นมักมีฟังก์ชันที่เป็นจุดขายของตัวเอง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการรับชมให้น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยี AI ThinQ และ Magic Remote ของทาง LG,เทคโนโลยี XR Triluminos Pro และ XR Surround ของ Sony ที่ทำให้ได้ภาพและเสียงที่สมจริง, เทคโนโลยี Motion Xcelerator ของ Samsung ทำให้ภาพลื่นไหลด้วยการชดเชยเฟรมเรต หรือ ระบบ Hands-Free Voice Control จาก TCL เป็นต้น
6. เลือกสมาร์ททีวีจากยี่ห้อและราคา
การเลือกสมาร์ททีวีจากยี่ห้อที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้เราใช้งานได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น อาทิ LG, Samsung, Sony, TCL, SKYWORTH, Hisense, Toshiba, Worldtech, SHARP, COOCAA, Aconatic หรือ Xiaomi เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดขายของสมาร์ททีวีแต่ละรุ่นที่แตกต่างกันออกไป ขนาดหน้าจอและช่วงราคาก็สามารถเลือกได้ตามต้องการ ทั้งนี้ควรตรวจสอบเงื่อนไขและระยะเวลาในการรับประกันสินค้าร่วมด้วยทุกครั้ง กรณีเกิดปัญหาขึ้นจะได้ใช้สิทธ์เคลมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้
สมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดี
อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะพอมีแนวทางในการเลือกสมาร์ททีวีเอามาไว้ใช้งานกันบ้างแล้ว ต่อไปเราจะมาชี้เป้าสมาร์ททีวีรุ่นที่น่าใช้ ภาพสวย เสียงดี ฟังก์ชันครบครัน โดยคัดมาจากหลายแบรนด์ หลายช่วงราคา เพื่อให้คุณมีตัวเลือกที่ครอบคลุมมากที่สุด พร้อมแล้วไปดูกันเลย
1. สมาร์ททีวี LG รุ่น 43UQ7500PSF
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ความคมชัดระดับ Ultra HD Real 4K | ไม่รองรับการเชื่อมต่อกับหูฟัง |
ประมวลผลด้วยชิป A5 Gen5 AI Processor | |
สนับสนุนการแชร์คอนเทนต์จาก iOS บนจอใหญ่ | |
รองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB, LAN, Bluetooth และ Wi-Fi |
มาเริ่มต้นการแนะนำสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีกันที่รุ่นแรกของลิสท์กัน ด้วยแบรนด์โทรทัศน์ชื่อดังขวัญใจใครหลายคนมายาวนานอย่าง LG นั่นเอง ในฐานะผู้ผลิตทีวีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มายาวนาน สมาร์ททีวีของ LG จึงมาพร้อมกับคุณภาพที่ไม่ธรรมดาแน่นอน กับหน้าจอขนาด 43 นิ้ว ความคมชัดสูงระดับ Ultra HD Real 4k ที่สามารถรองรับการใช้งานด้านกราฟิกแรงๆ ได้เป็นอย่างดี ทำงานด้วยการประมวลผลผ่านชิปเซต A5 Gen5 AI Processor ที่ประมวลผลด้วย AI อัจฉริยะ คอยตรวจจับและแก้ไขตำหนิบนหน้าจอได้ทันที ไม่ทำให้คุณต้องเสียอรรถรสระหว่างวันไป และยังรองรับการแชร์คอนเทนต์จากสมาร์ตโฟน ให้สามารถใช้งานทั้งจอเล็กและจอใหญ่ไปพร้อมกันได้ด้วย
2. สมาร์ททีวี SKYWORTH 32 นิ้ว รุ่น 32TB7050
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ดีไซน์ทันสมัย ขอบจอบาง | ความละเอียดหน้าจอแค่ระดับ HD |
มาพร้อม Netflix แบบ Built In | อัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 60Hz |
รองรับ Dolby Audio และ DTS TruSurround | |
รองรับ Google Assistant สั่งงานด้วยเสียงได้ |
ต่อกันด้วยสมาร์ททีวี SKYWORTH 32 นิ้ว รุ่น 32TB7050 ที่ยังคงมากับความคุ้มค่าด้วยสเปคที่อัดแน่นบนดีไซน์ตัวเครื่องที่สวยทันสมัย มาพร้อมหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ความละเอียดHD (1366×768 พิกเซล) อัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 60Hz ติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อความบันเทิงอย่าง Netflix และ YouTube แบบ Built In เชื่อมต่อได้อย่างราบรื่น มีพอร์ต HDMI และ USB มาให้อย่างละ 2 ช่อง ทำงานบนระบบปฏิบัติงาน Android 9.0 Pie สามารถลงแอปใน Google Play Store ได้ รองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant เต็มอิ่มกับระบบเสียง Dolby Audio และ DTS TruSurround แบบรอบทิศทาง มาในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป
3. สมาร์ททีวี Toshiba รุ่น Z770KP (65” 55”) Ultra HD 4K
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอขนาด 55 และ 65 นิ้ว คมชัดระดับ 4K | ราคาค่อนข้างสูง |
IMAX Enhanced เข้าไปกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั่วโลก | |
มี Filmmaker Mode รับชมในมุมของผู้สร้าง | |
ระบบเสียง REGZA Power Audio Pro+ ดังกระหึ่มแบบมีมิติ |
ใครยังไม่รู้จะเลือก สมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดี Toshiba Z770KP (65” 55”) Ultra HD 4K อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา รุ่นที่เข้าขั้นสมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียงรวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย บนดีไซน์หรูหรา เสมือนเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นในบ้าน รองรับการแสดงผลทั้ง Dolby Vision, HDR10+ และ HLG จะชมภาพยนตร์ หรือเล่นเกมก็ให้รายละเอียดที่คมชัดลื่นไหล โดยมีอัตราการรีเฟรชถึง 120Hz พร้อม Full Array Local Dimming ให้แสงเงาที่เป็นธรรมชาติ รองรับ IMAX Enhanced เข้าไปกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั่วโลก มี Filmmaker Mode หรือโหมดมุมมองของผู้กำกับ พ่วงเทคโนโลยีถนอมสายตา iCare Blue ระบบเสียงเป็น REGZA Power Audio Pro+ มี Bass Woofer ให้เสียงหนักแน่น มีมิติ ทรงพลัง ซื้อเครื่องนี้ไปถือว่าครบทุกความบันเทิง
4. สมาร์ททีวี Hisense รุ่น 40E5G 40 นิ้ว
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอ FHD ขนาด 40 นิ้ว | หากพบว่าผิดปกติในการขนส่งควรถ่ายภาพหรือคลิประหว่างแกะ |
มาพร้อมระบบเสียง Dolby Audio | |
รองรับการสั่งงานด้วยเสียง | |
สินค้ารับประกันนาน 3 ปี |
มาต่อกันที่ สมาร์ททีวี Hisense รุ่น 40E5G ขนาด 40 นิ้ว ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ระดับ FHD โดดเด่นมาตั้งแต่การออกแบบที่ดูหรูหรา งานประกอบเนี้ยบไม่เสียชื่อแบรนด์ มาพร้อมแอปพลิเคชันความบันเทิงอย่าง Netflix, YouTube, prime video, สามารถลงแอปเพิ่มได้ มีโหมดสำหรับการรับชมที่หลากหลาย เช่น ภาพยนตร์, กีฬา หรือเล่นเกม รองรับการแคสหน้าจอจากสมาร์ทโฟนได้ มี Wi-Fi ในตัว จดจำการตั้งค่าอัตโนมัติ เต็มอิ่มได้อรรถรสกับระบบเสียง Dolby Audio พอร์ตการเชื่อมต่อมีทั้ง HDMI และ USB รวมถึงรองรับการสั่งงานด้วยเสียงด้วย เป็นหนึ่งในรายชื่อสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีที่น่ารับไว้พิจารณา
5. สมาร์ททีวี Worldtech รุ่น WT-LED3201SM
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอขนาด 32 นิ้ว คมชัดระดับ FHD | หากต้องการขาแวนต้องจ่ายเพิ่ม |
ติดตั้ง Netflix และ YouTube มาพร้อมใช้ | |
รองรับ Mobile Screen Mirroring | |
ราคาไม่แพง มีประกัน 1 ปี |
ใครหาสมาร์ททีวีราคาไม่แพง Worldtech รุ่น WT-LED3201SM ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยมากับหน้าขนาด 32 นิ้ว ความคมชัดระดับ Full HD เพียงพอสำหรับการใช้งานในห้องขนาดเล็ก ผ่านการรับรองฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ตัวเครื่องทันสมัยขอบจอบาง สามารถเล่นสื่อได้จากหลายแหล่งไม่ว่าเป็น Web Browser, Netflix และ YouTube รวมถึงรองรับ Mobile Screen Mirroring นำภาพจากมือถือแสดงบนหน้าจอ พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครัน ให้พอร์ต HDMMI มาถึง 3 พอร์ต และ USB อีก 2 พอร์ต สินค้ารับประกันนาน 1 ปี
6. สมาร์ททีวี TCL รุ่น 40L5GA
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอ Infinity View หน้ากว้างพิเศษถึง 97% | ไม่รองรับการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Bluetooth |
สนับสนุนความเร็วภาพ 60fps ในทุกๆ สื่อที่ต้องการ | |
คุณภาพเสียงระบบ Dolby Audio Sound | |
รองรับ Google Assistant สั่งงานด้วยเสียงได้ |
ใครชอบสมาร์ททีวีดีไซน์เรียบง่ายแต่ลงตัว นี่ก็ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าจะโดนใจครับ สำหรับสมาร์ททีวีจากยี่ห้อ TCL รุ่นนี้ มาพร้อมกับหน้าจอ Infinity View หน้ากว้างพิเศษระดับ 97% ที่ทำให้มุมภาพของหน้าจอมีระยะการแสดงผลที่กว้างขึ้นกว่าจอแบบทั่วไป ให้รู้สึกว่าหน้าจอมีมิติ ขับเน้นคุณภาพสีได้เป็นอย่างดี และสามารถรองรับความเร็วภาพระดับ 60fps ได้กับทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเกม หนัง หรือคอนเทนต์ที่คุณอยากสัมผัสความไหลลื่นกันดูสักครั้ง และเป็นสมาร์ททีวีอีกรุ่นที่รองรับการใช้งานด้วย Google Assistants ได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่สามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ แต่ในฐานะสมาร์ททีวีสามัญประจำบ้านหนึ่งเครื่อง นี่คือรุ่นที่ดีและไม่ควรพลาดครับ
7. สมาร์ททีวี SHARP รุ่น 2T-C32EF2X
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอขนาด 32 นิ้ว ความละเอียด WXGA | ใช้ระบบปฏิบัติการ Web OS |
รองรับ Screen Mirroring | |
มาพร้อม Netflix, YouTube และ Prime Video | |
ผ่านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัย 7 ประการ |
มากันที่ สมาร์ททีวี SHARP รุ่น 2T-C32EF2X จากแบรนด์ชั้นนำของวงการ ที่ตัวเครื่องและชิ้นส่วนต่างๆ นั้นผ่านการทดสอบ 7 ประการในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของแบรนด์นี้อย่างหนึ่งที่หลายคนวางใจ มาพร้อมหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ความละเอียด WXGA ใช้หลอดภาพแบบ LED Backlight ขอบจอมีความบาง รุ่นนี้ติดตั้งแอปพลิเคชันชั้นนำอย่าง Netflix, YouTube และ Prime Video มาให้ในตัวแบบพร้อมใช้ รองรับ Screen Mirroring พ่วงมาด้วยระบบเสียง Original Surround พอร์ตการเชื่อมต่อมีทั้ง HDMI และ USB รวมถึงพอร์ตพื้นฐานต่างๆ ก็ให้มาอย่างครบครัน
8. สมาร์ททีวี COOCAA รุ่น 40S3U
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอขนาด 40 นิ้ว ความละเอียด 1366×768 พิกเซล | ควรตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันอย่างละเอียด |
ระบบเสียง Audio Enhanced Surround | |
ระบบปฏิบัติการ Coolita (lite Web OS) | |
มีราคาไม่แพง |
สำหรับสมาร์ททีวี COOCAA รุ่น 40S3U อาจจะเป็นยี่ห้อที่ไม่คุ้นเคยมากนักแต่แบรนด์นี้อยู่ภายใต้การดูแลของทาง SKYWORTH ที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเรามาแล้วหลายปี จุดเด่นคือดีไซน์ที่หรูหราเกินราคาพร้อมฟังก์ชันความบันเทิงที่ครบครัน รุ่นนี้ใช้ระบบปฏิบัติการ Coolita (lite Web OS) ที่มีข้อดีคือไม่หนักเครื่อง ทำให้ใช้งานได้อย่างราบรื่น หน้าจอมีขนาด 40 นิ้ว ความละเอียด 1366×768 พิกเซล มีระบบ CC Cast สำหรับเชื่อมต่อเนื้อหาจากแหล่งภายนอก มีแอปพลิเคชันความบันเทิงมากมาย สามารถเลือกโหมดการแสดงผลได้ 5 แบบ รวมถึงโหมดเกม ส่วนระบบเสียงเป็น Audio Enhanced Surround ที่คมชัดมีมิติ ใครยังไม่รู้จะเลือกสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีลองเปิดใจให้แบรนด์นี้ดู
9. สมาร์ททีวี Aconatic รุ่น 42HS400AN
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
หน้าจอขนาด 42 นิ้ว คมชัดระดับ FHD | ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Linux |
ดีไซน์เรียบหรู ราคาไม่แพง | |
มาพร้อม Netflix, YouTube และ Prime Video | |
สินค้ารับประกันนาน 3 ปี |
สมาร์ททีวี Aconatic รุ่น 42HS400AN คืออีกตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมากับการออกแบบที่สวยทันสมัย คมชัดทั้งภาพและเสียง ที่สำคัญราคาไม่สูงจนเกินไป รุ่นนี้มีหน้าจอ LED ขนาด 42 นิ้ว ความละเอียด Full HD ให้ความสว่างและคมชัดทั้งฉากมืดและสว่าง ติดตั้ง Netflix, YouTube และ Prime Video มาให้ในตัว สามารถเข้าถึง Netflix ด้วยปุ่มลัดบนรีโมต รองรับ Screen Mirroring เพื่อรับภาพจากมือถือขึ้นสู่หน้าจอ พอร์ตการเชื่อมต่อที่จำเป็นมีมาให้ครบเพื่อความบันเทิงที่หลากหลาย จะคอนเทนต์แบบไหนก็เอาอยู่ และยังรับประกันให้นานถึง 3 ปี อีกด้วย
10. สมาร์ททีวี Xiaomi รุ่น Mi TV P1
จุดเด่น | ข้อสังเกต/คำแนะนำ |
---|---|
ดีไซน์หน้าจอไร้ขอบ ขนาด 32 นิ้ว | ความละเอียดหน้าจอแค่ระดับ HD |
รองรับการสั่งงานด้วยเสียง | |
ระบบเสียง Dolby Audio และ DTS-HD | |
รองรับ Netflix, YouTube และ Prime Video |
ปิดท้ายรายชื่อ สมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดีกันด้วย Xiaomi Mi TV P1 ชื่อนี้การันตีได้ว่ามากับคุณภาพที่คุ้มราคา อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน โดยมากับหน้าจอดีไซน์ไร้ขอบขนาด 32 นิ้ว ความละเอียด HD ให้มุมมองที่กว้างเต็มตา ดื่มด่ำกับเนื้อหาโปรดในทุกเวลาที่ต้องการ รองรับเนื้อหาจาก Netflix, YouTube และ Prime Video ระบบเสียงเป็น Dolby Audio และ DTS-HD มีลำโพงคู่ขนาด 5W ดังดีมีมิติ มีปุ่ม Google Assistant รองรับการสั่งงานด้วยเสียง ใช้ควบคุมอุปกรณ์ Smart Home ได้ รีโมตเป็นแบบ Bluetooth 360 องศา ควบคุมได้จากทุกทิศทาง ภาพรวมถือว่าลงตัวน่าใช้ทีเดียว
บทส่งท้ายจากผู้เขียน
จะเห็นได้ว่าสมาร์ททีวีในปัจจุบันมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพ เสียง ฟังก์ชันการทำงาน การประมวลผล หรือลูกเล่นการใช้งานที่แต่ละแบรนด์สร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดผู้ใช้ ซึ่งการจะเลือกสมาร์ททีวี ยี่ห้อไหนดนั้นหลักๆ แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการหน้าจอขนาดกี่นิ้ว เป็นหน้าจอประเภทไหน มีฟังก์ชันอะไรที่ถูกใจเราบ้าง ที่สำคัญก็คือราคาตรงกับงบประมาณที่เราตั้งไว้หรือไม่ ลองเทียบกันดูอีกครั้งว่าสมาร์ททีวีรุ่นไหนใน 10 รุ่นนี้ที่ลงตัวกับที่คุณกำลังมองหาอยู่มากที่สุด